PSP จ่อขายไอพีโอเข้าSET ปักธงรายได้โต 20% ต่อปี | P.S.P. Specialties

PSP จ่อขายไอพีโอเข้าSET ปักธงรายได้โต 20% ต่อปี

#PSP #ทันหุ้น - PSP เดินหน้าเข้าตลาด โชว์ศักยภาพผู้นำด้านการผลิตสารหล่อลื่นแบบครบวงจร แถมรับอานิสงส์เปิดประเทศ เดินทางหนุนดีมานด์ใช้เพิ่ม ตั้งเป้ารายได้เติบโต 20% ต่อปี เล็งขยายฐานลูกค้า-ตลาดต่างประเทศใหม่ๆ ต่อเนื่อง พร้อมมองหาโอกาสใหม่ลงทุนในธุรกิจเกี่ยวเนื่อง หวังสร้าง New S-Curve

นายสินธุ์ ครองพาณิชย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พี.เอส.พี.สเปเชียลตี้ส์ จำกัด (มหาชน) หรือ PSP ผู้นำด้านผลิตภัณฑ์หล่อลื่นแบบครบวงจร (Total Solution Provider) และเป็นผู้ผลิตอิสระ (Independent Manufacturer) อาทิ จาระบี (Grease) และผลิตภัณฑ์พิเศษ (Specialty Products) ฯลฯ ในอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์หล่อลื่นรายใหญ่ในภูมิภาคอาเซียน เปิดเผยว่า ล่าสุด บริษัทได้ยื่นไฟลิ่งต่อสำนักงาน ก.ล.ต. เพื่อเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวนไม่เกิน 250 ล้านหุ้น คิดเป็นสัดส่วนไม่เกินร้อยละ 25 ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและชำระแล้วทั้งหมดของบริษัท โดยจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET)

ส่วนความคืบหน้านั้น คงต้องรอให้ทาง ก.ล.ต. มีการพิจารณาแล้วเสร็จจึงจะแจ้งรายละเอียดให้ทราบอีกครั้งได้ ทั้งนี้ปัจจุบันบริษัทมีทุนจดทะเบียน 1,000 ล้านบาท แบ่งเป็น 1,000 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) หุ้นละ 1 บาท โดยมีทุนที่ออกและชำระแล้วจำนวน 750 ล้านบาท

ทั้งนี้จะนำเงินที่ได้จากการระดมทุนครั้งนี้ ไปลงทุนในโรงงาน เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพกระบวนการผลิต และชำระคืนเงินกู้ยืมสถาบันการเงิน ส่วนที่เหลือจะใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินงานของบริษัท

ความต้องการใช้พุ่ง

สำหรับปัจจัยบวกจากการกลับมาเปิดประเทศอีกครั้งทำให้เศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวในทิศทางที่ดีขึ้น และเกิดกิจกรรมทางเศรษฐกิจ รวมถึงความต้องการเดินทาง ทั้งทางน้ำ ทางบก และอากาศ เป็นต้น ทั้งเพื่อการเดินทางท่องเที่ยว และการขนส่งสินค้าที่เพิ่มขึ้น สะท้อนต่อความต้องการใช้น้ำมันหล่อลื่น (Lubricant) ทั้งยานยนต์และเครื่องจักรในโรงงานอุตสาหกรรมที่ขยายตัวตาม โดยคาดว่าใน 5 ปี (2565-2569) ตลาดน้ำมันหล่อลื่นภายในประเทศไทยจะมีอัตราการเติบโตอยู่ที่เฉลี่ยไม่น้อยกว่า 4% ต่อปี

นอกจากนี้ ยังมองว่าตลาดน้ำมันหล่อลื่นในอาเซียน (ASEAN Lubricant Market) มีความต้องการใช้งานน้ำมันหล่อลื่นเติบโตเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 3,000 ล้านลิตรต่อปี และมีโอกาสที่จะขยายตัวไปถึง 4,000 ล้านลิตรต่อปี ใน 5 ปีข้างหน้า (2565-2569) ตามการเติบโตของแต่ละประเทศในกลุ่มอาเซียน ยกเว้นสิงคโปร์ที่มีฐานขนาดเล็ก

ปัจจุบันบริษัทมีกำลังการผลิตแบ่งออกเป็น ผลิตภัณฑ์น้ำมันหล่อลื่น อยู่ที่ประมาณ 212 ล้านลิตรต่อปี ซึ่งขณะนี้ถูกใช้อยู่ที่เฉลี่ยราว 160 ล้านลิตรต่อปี, ผลิตภัณฑ์จาระบี อยู่ที่กว่า 27,548 ตันต่อปี, ผลิตภัณฑ์น้ำมันผสมยาง (Rubber Process Oil) อยู่ที่เฉลี่ยราว 44 ล้านลิตรต่อปี และผลิตภัณฑ์น้ำมันหม้อแปลง (Tranformer Oil) อยู่ที่ 25 ล้านลิตรต่อปี ที่ยังไม่รวมถึงผลิตภัณฑ์น้ำมันทำงานโลหะ น้ำยาหล่อเย็นหม้อน้ำ หัวเชื้อน้ำมันเชื้อเพลิง และอื่นๆ

ตั้งเป้ารายได้โต 20%

สำหรับโครงสร้างธุรกิจนั้น ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2565 (ไตรมาส 1/65) แบ่งออกเป็นผลิตภัณฑ์น้ำมันหล่อลื่น 53%, ผลิตภัณฑ์น้ำมันผสมยาง 10%, ผลิตภัณฑ์จาระบี 8%, ผลิตภัณฑ์น้ำมันหม้อแปลง 4% ในส่วนสัดส่วนที่เหลืออีกประมาณ 25% เป็นรายได้จากการบริการและอื่นๆ เป็นต้น ซึ่งในอนาคตบริษัทมองการขยายสัดส่วนรายได้จากธุรกิจการบริการให้เพิ่มมากขึ้น ขณะเดียวกันบริษัทยังมีความสนใจและมองหาโอกาสในการขยายการลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจหลัก รวมถึงธุรกิจด้านพลังงานสะอาด ธุรกิจโลจิสติกส์  ธุรกิจด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรม เพื่อเข้าสร้าง New S-Curve ให้กับบริษัท

ซึ่งภายหลังจากที่มีการลงทุนไปแล้วในช่วงก่อนหน้านี้ รวมถึงการเดินหน้าขยายฐานลูกค้าและตลาดต่างประเทศใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่าในปีหน้าจะเริ่มการส่งออกไปยังกลุ่มประเทศแอฟริกาเพิ่มมากขึ้น ทำให้บริษัทคาดว่าการเติบโตของรายได้โดยเฉลี่ยในช่วง 5 ปีจากนี้ จะอยู่ที่ไม่น้อยกว่า 20% ต่อปี จากค่าเฉลี่ยในอดีตอยู่ที่ประมาณ 8-10% ต่อปี

ด้านต้นทุนทางพลังงานที่มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นนั้น บริษัทไม่มีความกังวลแต่อย่างใด และมองว่าไม่ส่งผลกระทบต่อผลการดำเนินงานของบริษัท เนื่องจากบริษัทเป็นผู้รับจ้างผลิต ทำให้สามารถส่งผ่านต้นทุนไปยังลูกค้าได้ ซึ่งในการผลิตจะมีการคิด Cost-Plus อยู่แล้ว

ที่มา: https://thunhoon.com/article/262981